เคล็ดลับแก้ปัญหาคอมเบื้องต้น ทำเองได้ไม่ต้องรีบเข้าร้าน

2,648 View

วิธีแก้ปัญหาคอมเบื้องต้นก่อนส่งร้านซ่อม สวัสดีทุกท่านครับ วันนี้เว็บไซต์ one31tv.online กลับมาพร้อมเกร็ดความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อีกครั้ง รอบนี้ทีมงานอยากแชร์ทริคดี ๆ สำหรับคนที่เจอคอมงอแง ช้า ค้าง หรือมีปัญหาจุกจิกก่อนที่จะต้องยกเครื่องไปให้ร้านซ่อมจริง ๆ บอกเลยว่าหลายวิธีทำเองได้ง่ายมาก และยังช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลาอีกด้วยครับ

หลายครั้งปัญหาคอมไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด เพียงแค่ลองเช็กและแก้เบื้องต้นก็ทำให้เครื่องกลับมาทำงานได้ตามปกติ แถมยังช่วยให้เรามองออกด้วยว่าปัญหาที่เจอเป็นเรื่องเล็กที่จัดการเองได้ หรือควรส่งต่อให้ช่างมืออาชีพ วันนี้เลยขอรวบรวม 7 วิธีที่ใคร ๆ ก็ทำตามได้ง่าย ๆ เอาไว้เป็นคู่มือเบื้องต้นก่อนตัดสินใจส่งซ่อมครับ

วิธีแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ของคุณ

7 วิธีจัดการกับคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ ก่อนเรียกช่างมาช่วย

1. System File Checker เครื่องมือฟรีจาก Microsoft

วิธีแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ของคุณ

System File Checker หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า SFC เป็นเครื่องมือที่โคตรมีประโยชน์ เพราะช่วยตรวจสอบและซ่อมไฟล์ระบบที่เสียหายได้อัตโนมัติ เวลาเจอโปรแกรมเด้ง ค้าง หรือทำงานผิดปกติ การสแกนด้วยคำสั่งนี้ช่วยแก้ได้บ่อยมาก

  1. กดปุ่ม Windows แล้วพิมพ์ Command Prompt จากนั้นเลือก Run as administrator
  2. หน้าต่างจะขึ้น C:\Windows\System32>
  3. พิมพ์คำสั่งนี้แล้วกด Enter:

sfc /scannow
ใช้ได้ทันทีบน Windows 11

DISM.exe /Online /Cleanup-image /Restorehealth
ใช้กับ Windows 10, 8.1 และ 8

ถ้า Windows Update มีปัญหา ให้ลองใช้คำสั่งนี้เพื่อดึงไฟล์ระบบจากโฟลเดอร์ซ่อมแซม:

DISM.exe /Online /Cleanup-Image /RestoreHealth /Source:C:\RepairSource\Windows /LimitAccess

โดยปกติแล้วการรัน SFC ก็พอ แต่ถ้าไฟล์เสียหายเยอะ ๆ แนะนำลองสแกนใน Safe Mode อีกทีครับ

2. ใช้ Disk Check ตรวจสอบไดรฟ์

วิธีแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ของคุณ

อีกวิธีที่ควรรู้คือ Disk Check สำหรับตรวจสอบไดรฟ์ต่าง ๆ เช่น C:\, D:\ หรือ E:\ เพื่อหาข้อผิดพลาดและกู้คืนไฟล์ที่เสียหายได้

  • เปิด Command Prompt แบบผู้ดูแลระบบ
  • พิมพ์คำสั่งนี้:

chkdsk c: /f /r
ถ้าจะตรวจสอบไดรฟ์อื่น ให้แทนที่ c: ด้วยไดรฟ์ที่ต้องการ

  • ถ้าไดรฟ์ C:\ กำลังใช้งานอยู่ ระบบจะถามว่าจะตรวจสอบตอนรีสตาร์ทไหม ให้กด Y
  • รีสตาร์ทแล้วระบบจะทำการตรวจสอบอัตโนมัติ
  • ถ้าเป็นไดรฟ์อื่น ๆ จะมีแถบเปอร์เซ็นต์บอกสถานะการสแกน

แนะนำให้ทำเฉพาะเมื่อเครื่องเริ่มช้าลงหรือเข้าไดรฟ์ไม่ได้ ส่วนไดรฟ์ C:\ ควรทำทุก ๆ 6 เดือนเพื่อความเสถียรครับ

3. ใช้ Troubleshoot บน Windows 11

Windows 11 มาพร้อมฟีเจอร์ Troubleshoot ที่อยู่ใน Settings > System > Troubleshoot เอาไว้แก้ปัญหาเบื้องต้นได้ง่ายมาก

  • Recommended troubleshooter settings : เลือกได้ว่าจะให้รันอัตโนมัติหรือถามก่อน
  • ประวัติการแก้ไข : ดูได้ว่าปัญหาไหนถูกแก้ไปแล้ว
  • Other troubleshooters : รวมเครื่องมือแก้ปัญหาเพิ่มเติม เช่นเสียง, อินเทอร์เน็ต, เครื่องพิมพ์ หรือ Windows Update
วิธีแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ของคุณ

ถือว่าเป็นตัวช่วยที่สะดวกสุด ๆ สำหรับคนที่ไม่ถนัดคำสั่งครับ

4. ใช้ Performance Monitor

Performance Monitor เป็นเครื่องมือที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการทำงานของระบบแบบละเอียดในรูปกราฟ ใช้ตรวจสอบว่าเครื่องทำงานผิดปกติจากฮาร์ดแวร์หรือไม่

  • กด Windows แล้วพิมพ์ Performance Monitor
  • เข้าไปที่ System Diagnostics แล้วกด Start เพื่อดูรายละเอียด
วิธีแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ของคุณ

หากเจอปัญหา ระบบจะแสดงรายงานเพื่อบอกว่าส่วนไหนมีปัญหาให้เราแก้ไขต่อได้ครับ

5. ตรวจสอบ RAM ด้วย Windows Memory Diagnostic

วิธีแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ของคุณ

ถ้า RAM มีปัญหา เครื่องจะทำงานช้าลง ค้างบ่อย หรือไฟล์เสียหาย วิธีตรวจสอบคือใช้ Windows Memory Diagnostic

  • กด Windows+R แล้วพิมพ์ mdsched.exe
  • เลือกว่าจะ Restart แล้วตรวจสอบทันที หรือให้ตรวจสอบตอนเปิดเครื่องครั้งถัดไป

6. ตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่

วิธีแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ของคุณ

โน้ตบุ๊กที่ใช้นาน ๆ แบตเสื่อมเป็นเรื่องปกติ สามารถเช็กได้ด้วยคำสั่ง:

powercfg /batteryreport

ไฟล์รายงานจะถูกบันทึกเป็น .html อยู่ใน System32 เปิดดูได้เลยว่าประสิทธิภาพแบตยังโอเคไหม

C:\Windows\system32\battery-report.html

วิธีแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ของคุณ
ตัวอย่างรายงานแบตเตอรี่ – กำหนดให้ชาร์จสูงสุดแค่ 80%

7. ใช้ Safe Mode แก้ปัญหา

วิธีแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ของคุณ

ถ้าลองทุกวิธีแล้วยังไม่หาย แนะนำบูตเข้า Safe Mode เพื่อใช้ระบบในโหมดพื้นฐานที่ตัดไฟล์และไดรเวอร์ส่วนเกินออก วิธีนี้ช่วยให้แยกได้ว่าปัญหามาจากซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์

Windows 11

วิธีเปิดจาก Settings

  1. กด Windows+i
  2. ไปที่ System > Recovery
  3. เลือก Restart now ใน Advanced startup
  4. เลือก Troubleshoot > Advanced options > Startup Settings > Restart

วิธีเปิดจากหน้าจอ Login

  1. กดปุ่ม Shift ค้างไว้แล้วกด Restart
  2. เลือกเมนูเหมือนวิธีด้านบน

วิธีเปิดจาก msconfig

  1. กด Windows+R
  2. พิมพ์ msconfig แล้วกด Enter
  3. ไปที่แท็บ Boot แล้วเลือก Safe boot

Windows 10

  1. กด Windows+i
  2. ไปที่ Update & Security > Recovery
  3. เลือก Restart now ใน Advanced startup
  4. จากนั้นทำเหมือนขั้นตอนของ Windows 11
วิธีแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ของคุณ

การแก้ปัญหาด้วย Safe Mode ถือเป็นทางออกสุดท้าย ถ้าเครื่องยังมีปัญหาอยู่ อาจถึงเวลาที่ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยแล้วครับ

เครดิตภาพ: Microsoft, Israel Andrade จาก Unsplash, ian dooley จาก Unsplash

More From Author

เคล็ดลับดูแลแบตมือถือไอโฟนให้อึด ใช้ได้ยาวขึ้น

วิธีแคปหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุกยี่ห้อ ทุกระบบปฏิบัติการ (อัปเดต 2025)