ชาร์จ iPad ไม่เข้า แก้ไขเองได้แบบง่ายๆ (อัปเดต 2025)
สวัสดีทุกท่านครับ วันนี้ทางเว็บไซต์ one31tv.online จะมาแชร์เกร็ดความรู้ดีๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอทีอีกครั้ง รอบนี้ทีมงานอยากพูดถึงปัญหาที่ผู้ใช้ iPad หลายคนอาจเคยเจอ อย่างเรื่อง iPad ชาร์จไม่เข้า ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงก็บอกเลยว่าเครียดแน่นอน เพราะ iPad ถือเป็นแท็บเล็ตคุณภาพสูง ใช้งานได้ใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว แต่พอจู่ๆ ชาร์จไม่ติด มันกวนใจไม่น้อย บางคนเลือกเอาเข้าศูนย์ Apple เพื่อเช็กอาการ หรือถ้าเครื่องหมดประกันแล้วก็ต้องไปฝากร้านซ่อม ซึ่งเสี่ยงว่าจะได้ผลลัพธ์ดีจริงหรือเจอปัญหาใหม่เพิ่ม
อย่างไรก็ตาม ปัญหา แบตเตอรี่ไม่ชาร์จ หลายกรณีผู้ใช้สามารถแก้เองได้แบบง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเข้าศูนย์เลยด้วยซ้ำ สาเหตุหลักมักมาจากพอร์ต USB-C หรือ Lightning มีฝุ่นเกาะ คราบออกไซด์ทำให้ไฟไม่วิ่ง หรือบางทีก็แค่ใช้สายชาร์จปลอมทำให้เครื่องไม่กินไฟ ที่เจอบ่อยอีกเรื่องคือการชาร์จผ่านพอร์ต USB คอมพิวเตอร์ ซึ่งปล่อยไฟไม่พอสำหรับ iPad จึงขึ้นว่าไม่ได้ชาร์จ แม้จะเสียบอยู่ก็ตาม
1. ตรวจสอบสายและอุปกรณ์ชาร์จว่าเป็นของแท้หรือไม่

หนึ่งในสาเหตุแรกๆ ที่ทำให้ชาร์จไม่เข้า คือการใช้สายชาร์จคุณภาพต่ำหรืออะแดปเตอร์ไฟไม่เสถียร หลายคนคิดว่าพอร์ตเสีย แต่จริงๆ แค่เปลี่ยนสายแท้หรือสายที่มีมาตรฐาน MFi (Made for iPhone/iPad) ปัญหาก็หมดไปทันที ยี่ห้อที่เชื่อถือได้ เช่น Aukey, UGREEN หรือ ZMI นอกจากนี้อะแดปเตอร์ควรเลือกแบรนด์ที่ทำอุปกรณ์เสริมโดยเฉพาะ ไม่จำเป็นต้องเป็น Apple แต่ต้องมีคุณภาพเทียบเท่า
ข้อดีของพอร์ต USB-C คือถ้าใช้สายแท้มาตรฐาน จะสามารถทำอะไรได้มากกว่าแค่ชาร์จ เช่น เชื่อมต่อจอ 4K–6K, ต่ออุปกรณ์เสริม USB-C อย่างฮับหรือ SSD รวมถึงใช้ iPad ชาร์จ iPhone ได้อีกด้วย ถ้าอยากได้สายที่ครบเครื่อง แนะนำลงทุนกับสาย Thunderbolt ถึงจะแพงกว่าพันบาท แต่รองรับทั้งชาร์จเร็วและต่อจอเพิ่ม ถือว่าคุ้มครับ
2. เปลี่ยนจากชาร์จผ่านคอมพิวเตอร์มาใช้ปลั๊กโดยตรง

การเสียบ iPad กับคอมเพื่อ Sync ข้อมูลและชาร์จไปพร้อมกัน มักจะขึ้นว่า Not Charging เพราะพอร์ต USB คอมจ่ายไฟได้เพียง 5W ซึ่งไม่พอสำหรับ iPad ที่ต้องการอย่างน้อย 10W ถ้าจะชาร์จให้เต็มจริงๆ ต้องใช้ปลั๊กที่มีกำลังไฟเพียงพอ
iPad รุ่นใหม่รองรับชาร์จเร็ว 20W ขึ้นไป ถ้าใช้อะแดปเตอร์คุณภาพดีจาก Apple หรือแบรนด์ที่รองรับมาตรฐานเดียวกัน แบตก็เต็มไว ไม่ต้องกังวลว่าจะร้อนหรือระเบิด เพราะชิปในเครื่องจะคุยกับอะแดปเตอร์ก่อนเสมอ ถ้ามีที่ชาร์จ 65–100W ก็ยิ่งดี ใช้ชาร์จโน้ตบุ๊กได้ด้วย
3. ระวังอุณหภูมิ ถ้า iPad ร้อนเกินไปก็ชาร์จไม่เข้า
อุณหภูมิมีผลต่อการชาร์จเหมือนกัน ถ้า iPad ร้อนหรือเย็นเกินไป ระบบจะตัดการชาร์จทันทีเพื่อป้องกันความเสียหาย เงื่อนไขที่เหมาะสมคือ:
- ควรชาร์จในอุณหภูมิห้อง 0–35 องศาเซลเซียส
- การใช้งานทั่วไปอยู่ในช่วง -20 ถึง 45 องศาเซลเซียส
- หลีกเลี่ยงการทิ้งไว้ในรถหรือกลางแดดจัด เพราะอาจทำให้แบตบวมได้
ถ้ามีข้อความเตือนขึ้นว่าร้อนเกินไป ให้ถอดสายชาร์จออก แล้วพักเครื่องในที่เย็น เช่น หน้าแอร์หรือพัดลมสักครู่ แล้วค่อยชาร์จต่อ
4. ตรวจสอบพอร์ตชาร์จ อาจมีฝุ่นหรือคราบสกปรก

ฝุ่นและขุยผ้ามักสะสมในพอร์ต Lightning หรือ USB-C โดยไม่รู้ตัว ทำให้หัวชาร์จสัมผัสไฟไม่เต็ม ถ้าใช้บ่อยในกระเป๋าหรือใส่ในเคสก็ยิ่งเสี่ยง
ทางแก้คือลองใช้สเปรย์ Contact Cleaner ฉีดเบาๆ ในพอร์ต จากนั้นใช้สำลีเช็ดคราบออก รอให้แห้ง 1–2 นาทีแล้วค่อยลองชาร์จใหม่ ข้อดีคือไม่ทำลายอุปกรณ์และใช้ทำความสะอาดเมนบอร์ด คีย์บอร์ด หรือแผงวงจรอื่นได้ด้วย
5. ใช้พอร์ต Magic Keyboard ช่วยชาร์จแทน
สำหรับ iPad Air (รุ่น 4–5) และ iPad Pro รุ่นใหม่ที่รองรับ Magic Keyboard คุณสามารถเสียบชาร์จผ่านคีย์บอร์ดได้ด้วย เป็นอีกวิธีที่ช่วยทดสอบว่าปัญหาเกิดจากพอร์ตหลักหรือไม่ ถ้าเสียบผ่านคีย์บอร์ดแล้วชาร์จเข้า แต่พอร์ตหลักไม่ทำงาน ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นปัญหาฮาร์ดแวร์ของพอร์ต
6. รีสตาร์ทเครื่อง ถ้า iPadOS ค้างก็ทำให้ชาร์จไม่เข้าได้
บางครั้งระบบ iPadOS มีบั๊กจนทำให้เครื่องไม่ตอบสนอง ลองรีสตาร์ทง่ายๆ อาจช่วยได้
– รุ่นใหม่ไม่มีปุ่ม Home: กดปุ่มเพิ่มหรือลดเสียงพร้อมปุ่มล็อกจอค้างไว้ แล้วเลื่อนเพื่อปิด รอ 30 วินาทีแล้วเปิดใหม่
– รุ่นเก่ามีปุ่ม Home: กดปุ่มล็อกจอค้าง เลื่อนปิด แล้วเปิดใหม่ หรือกดปุ่มล็อกจอ+โฮมค้างไว้จนโลโก้ Apple ขึ้น
7. อัปเดต iPadOS เป็นเวอร์ชันล่าสุด
อีกวิธีที่ไม่ควรมองข้ามคือการอัปเดตระบบปฏิบัติการ เพราะ Apple มักปล่อยแพตช์แก้บั๊กที่ทำให้ชาร์จไม่ติด วิธีทำคือไปที่ การตั้งค่า > ทั่วไป > อัปเดตซอฟต์แวร์ จากนั้นปล่อยให้อัปเดตเสร็จแล้วลองชาร์จใหม่
สรุป: ปัญหา iPad ชาร์จไม่เข้า อาจเกิดจากเรื่องเล็กๆ เช่น สายชาร์จไม่ได้มาตรฐาน พอร์ตสกปรก หรือใช้ไฟไม่พอจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งแก้เองได้ง่ายโดยไม่ต้องเสียเงินเข้าศูนย์ แต่ถ้าลองครบทุกวิธีแล้วยังไม่หาย ค่อยส่งศูนย์ให้ช่างเช็กละเอียด จะได้ใช้งานได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยครับ